Tuesday, December 20, 2016

รีวิว การเดินทางถวายความเคารพพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9

สวัสดีค่ะ เนื่องจากอาทิตย์ที่แล้วปลาดาวและคุณแม่ได้มีเวลาว่างตรงกัน
พวกเราอยู่คนละจังหวัดทางภาคใต้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้ากรุงเทพเพื่อการถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
 
 
ก่อนไปปลาดาวพยายามศึกษารายละเอียดจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ
ติดตามข่าวสารในพระราชสำนักว่า ควรไปวันและเวลาใด ที่ไม่ต้องรอนานมาก
 เพราะคุณแม่เริ่มมีอายุแล้ว กลัวถ้ารอนานท่านจะไม่ไหวเอา
จากการดูข่าวพบว่าจากเดือนแรก ที่มีคนเข้าถวายสักการะ 2-3 หมื่น ช่วงเดือนนี้เป็นวัน 4 หมื่นกว่า
ซึ่งแม้ว่าเวลาเนิ่นนานออกไปท่านก็ไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำของพวกเราลูกชาวไทย
 
มีหลายเสียง  บอกว่าไปตอนเช้าตรู่ก่อนตีห้าวันธรรมดา ยิ่ง จันทร์ อังคาร พุธ ได้เข้าก่อนเที่ยง
หรือบางเสียงให้ไปค่ำ รอไม่นานและอากาศไม่ร้อน
แต่หลังจากปรึกษากันแล้ว คุณแม่ บอกว่าอยากไปชมบรรยากาศ
แลกเปลี่ยนความรู้สึก หรือปรับทุกข์เกี่ยวกับความเสียใจครั้งนี้ด้วยพวกเราจึงเลือกไปเช้าตรู่
ของวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม  2559
 
เราออกจากที่พัก 4 นาฬิกาตรง โดยเรียก grab taxi ไว้ก่อน
มีค่าบริการเพิ่มเติม 45 บาท เราเดินทางถึงสนามหลวง  ประมาณ 4.45 น.
ด้วยความที่เราก็ไม่รู้ว่าต้องรอจุดไหน  พี่ taxi จอดบริเวณประตูธรรมศาสตร์
เราก็เริ่มกระบวนการรอกันตรงนี้เลยค่ะ
 
บริเวณนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความสะดวก คอยชี้ว่า..เอ้าคนมาใหม่นั่งต่อแถวตรงนี้
ตอนตี 4 จะเห็นว่ามีทั้งคุณตาคุณยาย  เด็กนักเรียน คนหนุ่มสาว
ต่างก็รอคอยโดยไม่ทราบว่าต้องรอนานเท่าใด แต่ไม่มีใครปริปากบ่นสักคำ
เพราะทุกคนอยากมาไหว้พ่อ ..
 
ประมาณ 6.00 น. แถวเริ่มขยับยืน เราเคลื่อนตัวเรื่อยๆ
แล้วก็มีคนมาบอกว่าถ้าไม่ได้มาเป็นหมู่คณะให้ไปอีกประตูนึง แล้วก็อีกประตูนึง
สรุปว่าวันนี้เรารอผิดประตูไปเกือบชั่วโมง
แต่ไม่เป็นไรเพราะทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ
 
เราเดินแถวรอ ประมาน 7 โมง เช้าจึงได้ที่นั่งในเต็นท์ เราเป็นแถว ค11
--หลักการนั่งในเต็นท์นั้นคือ นั่งแล้วนั่งเลย ไม่ต้องขยับ จนกว่าเราจะได้คิวไปต่อ
 
จากจุดในเต็นท์นี้ เนื่องจากหลายๆคนมาแต่เช้า ก็จะมีอาหารไว้บริการ
หลายตำแหน่ง โชคดีที่ข้างที่เรานั่งเป็นจุดบริการอาหาร ของบริษัทหนึ่ง
ซึ่งต้องขออภัยด้วยที่เราไม่ได้ถามชื่อมา ร่วมกับหลายหน่วยงานและท่านพุทธอิสระ
 
ด้านหลังก็จะมีเต็นท์ พระราชทาน เรียกว่าตื่นเช้ามารีบมาสนามหลวงได้เลย
ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน
 
แถวที่เรานั่งคอยในเต็นท์ เราได้พบสามีภรรยาคู่หนึ่งคนไทยที่ไปอาศัยในอเมริกาเดินทางมา
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ  คุณน้าผู้หญิงผู้ซึ่งมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 เพียงคนเดียว
คุณตาคุณยาย ที่แม้จะเข่าไม่ดี แต่อยากมาสักครั้ง ตลอดทางต้องช่วยพยุง ต้องหยุดพัก
แต่พวกท่านก็ไม่ย่อท้อ ไม่เคยคิดหันหลังกลับ
คุณลุงจิตอาสาที่คอยมาเรียกมาบอกเมนูให้คนในเต็นท์ไม่ต้องรอด้วยความหิวโหย
ภาพและบุคคลเหล่านี้ดีต่อใจของเรามาก
 
วันนั้นเรารอในเต็นท์แรก ราว 5.30 ชั่วโมง  7.00-12.30 น. แต่รู้สึกว่าไม่นานเลย
ถ้าเทียบกับการได้มาพบปะพูดคุย คนที่รักพ่อเช่นเดียวกัน
การให้ การช่วยเหลือ การดูแลซึ่งกันและกันพบเห็นได้ตลอดเวลาที่นั่งคอย
มันทำให้ปลาดาวรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน
 
ราว 12.30 แถวของเราได้เริ่มเดินเดินทางสู่ประตูบรมมหาราชวัง
จากจุดนี้เราเดินเพียงเล็กน้อย ก็จะเจอเต็นท์ และนั่งรออีกราว 20 นาที จ
คนที่ได้เข้าถวายสักการะเสร็จแล้ว จะเดินย้อนกลับมาทางนี้
เราจะสังเกตุหลายคนที่นั่งวีลย์แชร์มีสีหน้ายิ้มแย้มอิ่มใจ
ณ.ห้วงเวลานี้ ทั้งคนขาดี และขาไม่ดี ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
 
จากนี้เราจะเดินผ่านพระราชวัง เข้าทางวัดพระแก้ว
และแล้วก็เข้าสู่บริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จุดนี้ห้ามถ่ายรูป ควรสงบนิ่ง
เค้าจะให้ถอดรองเท้าใส่ถุงดำที่เตรียมไว้
และเข้าแถวรอเข้าแถวรอกราบถวายสักการะ
 
ช่วงที่รอคนกลุ่มต่อไปที่กราบอยู่ จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะซึมซับบรรยากาศโดยรอบ
ให้เราตั้งสติให้จงมั่น เมื่อถึงคิวเค้าจะให้นั่ง มันคนบอกให้กราบและลุกพร้อมกัน
ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างรวดเร็ว ราว 1-2 นาที เท่านั้น
ในห้องแห่งนี้ เราควรเตรียมมาบ้างว่าจะพูดอะไรกับท่านเพราะ เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด
 
 
จากนั้นเดินลงมาจะมีจุดบริจาคเงิน ควรเตรียมเงินในจุดที่หยิบง่าย
ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องออตรงทางเดิน กีดขวางการสัญจร
 
เสร็จพิธีเราออกจากจุดนี้ 14.00 น. 
 
ความรู้สึกเราในวันนั้นเหมือนเวลามันแปปเดียว แต่พอมาลองนับโอ้โหนี่ตั้ง 9 ชั่วโมง เชียวนะ
 
----
เกล็ดควรรู้
 
1.หลักการแต่งตัว สุภาพเรียบร้อยที่สุุด จริงๆไม่เห็นคนคอยดูคอยจ้ำจี้นะคะ
ถ้าใครไม่มีชุดจริงๆมีจุดให้ยืมชุดถึงสองที่ด้วยกัน เพียงใช้บัตรประชาชน
 
2.รองเท้า เป็นปัญหาหลักของปลาดาวเลยค่ะ ทั้งที่พันปลาสเตอร์ยาไปแล้ว
ทั้งบริเวณด้านหลังเท้าที่เอ็นร้อยหวาย ที่นิ้วก้อย และนิ้วโป้ง แต่เนื่องจากปกติไม่ใส่คัทชูแบบนี้
จึงทำให้ยังปวดมาก ระหว่างที่นั่งในเต็นท์โชคดีมากค่ะมีปลาสเตอร์มาแจกจึงพันทับเข้าไปอีกชั้น 
 
3.อาหาร เคยได้ยินว่าจากข่าวว่า หลายคนเอาเยอะกินไม่หมดก็ทิ้ง แต่เท่าที่ไปมาวันนี้ไม่เจอแบบนั้น
อาหารแจกเยอะก็จริง แต่คนที่นั่งคอยก็กินแต่พออิ่ม เมื่ออิ่มแล้วก็จะนั่งตามที่เต็นท์ของตัวเอง
เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึก นี่ถ้ามาตอนช่วงที่ยังซึมเศร้าคงร้องให้โฮตลอดเวลาแน่ๆ
 
4.จากที่คุยกับคุณลุงที่มาซุ้มแจกอาหารซึ่งคุณลุงมาตั้งแต่เริ่มต้น
คุณลุงบอกว่ากลุ่มแรก จะได้เข้าวังราว 9 โมง
ซึ่งเราเป็นชุดที่ 2 น่าจะได้เข้าวังประมาณ บ่ายโมง-บ่ายสอง เพราะช่วงเช้า
ตอนที่พระฉันเพลคือ 11 โมงถึงเที่ยงจะมีการเว้นช่วงถวายสักการะ 
วันนึงจะมีคนผลัดเปลี่ยนมาในเต็นท์คอยราวง 4-5 ชุด
 
คุณลุงบอกว่าเวลาที่ดีและเร็วที่สุด คือ ราว 1-2 ทุ่ม จะได้กราบพระศพไม่เกินเที่ยงคืน  เนื่องจากประตูท้องสนามหลวงจะปิดที่ 2 ทุ่ม แต่ทุกคนที่นั่งในเต็นท์คอยแล้วจะได้กราบพระศพหมด แต่รอบดึกข้าวพอเพียงมักจะหมดแล้ว
 
5.ข้าวพอเพียง ได้จัดทำบริเวณสำนักนายกที่ทำเนียบรัฐบาล โดยจิตอาสา
ปลาดาวเคยมีโอกาสไปร่วมด้วย เค้ามีเป้าหมายวันละ 6 หมื่นถุง  แต่ทั้งสองวันที่ปลาดาวไป
ได้เพียง 3- 4 หมื่นเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ไม่พอเพียงแจกผู้เข้าถวายสักการะ
 
ส่วนใครที่สนใจแนะนำโทรจองล่วงหน้า เพราะเค้ารับจิตอาสาเพียงวันละ 200 คน ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณที่นั่ง และอาหารเที่ยงด้วย แต่จากประสบการณ์ เคยไปสองครั้ง ตอนที่ขึ้นมากรุงเทพ ลงอนุสาวรีย์สาน 157 หรือ 509
ลงประตู 4 ก่อนเข้าต้องแลกบัตรประชาชนด้วย
 
ช่วงบ่ายๆ คนจะน้อยลงอย่างมาก เพราะฉะนั้นถ้าคิวเต็ม
แนะนำให้ท่านทานอาหารเที่ยงให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปที่ประมาณ บ่ายโมงนิดๆ
เค้าจะเริ่มปิดการทำที่ืบ่ายสี่ครึ่ง เริ่มไม่เติมข้าวและถุงผ้าแล้ว 
ย้ำเตือนว่าข้าวพาเพียงรับที่หน้าพระบรมมหาราชวังเท่านั้น ไม่มีการมาช่วยทำแล้วนำกลับบ้าน
 
6.จากพระบรมมหาราชวัง จะมีรถฟรีบริการพาไปยังจุดต่างๆ มากมาย
 เราสามารถเลือกขึ้นตามจุดต่างๆ ที่เค้าติดไว้ได้เลยค่ะ
 
 
---
 
 
 
 
 


No comments:

Post a Comment