Tuesday, June 21, 2016

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอน 1 นาริตะ ชิบูยะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอน 1 นาริตะ ชิบูยะ..หมดเงินตั้งแต่วันแรกคืออะไร

ทริปนี้มันเริ่มตรงที่ว่า "ทุ่งดอกไม้สีฟ้า" ..แล้วอิชั้นก็มารีวิวเพิ่มว่าสามารถเพิ่มความดอกอะไรได้อีก
นั่งทำรีวิวเป็นอาทิตย์ค่า...แล้วเราก็ได้แพลนคร่าวๆ หน้าตาประมาณนี้

 
Trick -- ก่อนอื่นเลยก็มา plot "ที่หมายตา" ใน my map ก่อนเพื่อง่ายแก่การวางแผนการเดินทาง

**ใครยังใช้ไม่เป็นตามดูวิธีการที่ลิ้งด้านล่างได้เลยค่ะ ออกตัวไว้ก่อนว่าอิชั้นก็ไม่ได้เก่งไอที
เอาแค่ใช้พอเอาตัวรอดเท่านั้น

Day 1 /// 5th หัสบดี
 
Flight ถึงนาริตะ .. 8.00 น. ผ่านตม. นั่ง JR ไปที่พัก ฝากกระเป๋า.. 90 นาที 3390 เยน

วันนี้โชคดีมากค่ะ เราเป็น flight เช้าคนจะยังไม่เยอะ ใช้เวลาผ่านตม
ประมาณ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทำเวลาดีเกินคาด  ทำให้มีเวลาหลงได้อีกเยอะ ><

Trick -- ลงเครื่องแล้วอดทนนิดนึงนะคะ อย่าแวะเข้าห้องน้ำ แต่งหน้าทำผมเสียก่อน รีบไปต่อคิวเพราะ ถ้าเรารีบเดินมาอย่างที่บอกเป็น flight เช้าคนน้อย ..แปปเดียวเลยค่า (อาจจะแอบแปรงฟันล้างหน้าเตรียมไว้ก่อนเครื่อง landing นิดนึง ) แล้วไปรอรับกระเป๋า ระหว่างนี้แหละค่ะ จัดหนักจัดเต็มหน้าผม เปลี่ยนชุดในชุดนอกกันยาวๆ

*** แต่อย่าลืมแอบส่องรอบรถไฟที่เราจะเข้าเมืองกันไว้ก่อนนะคะ จะได้กะเวลาได้
http://www.hyperdia.com/en/
***แต่ถ้าใครชิลๆจะไปทำบนรถไฟเข้าเมืองก็ได้ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน สำหรับอิชั้นไม่อยากไปปิดๆเปิดกระเป๋าบนรถไฟมันทุลักทุเลเลยจัดให้เสร็จค่ะ


รอบที่เราเล็งไว้คือ 09.48 น. หลังได้กระเป๋าก็จัดการตัวเองเรียบร้อย
ก็ต้องรีบไปซื้อ Kanto Pass ซึ่งซื้อได้ที่ JR center ด้านล่างค่ะพอเราลองสอบถามเจ้าหน้าที่ ..เค้ารีบบอกว่ามันยกเลิกไปแล้ว แป่ววว ( เหงื่อแตก!!)
..เห็นพวกเราทำหน้างง ไม่รู้จะเอาไงกับชีวิต เค้าเลยรีบเฉลยว่ามันมีตัวใหม่แต่ระยะเวลาสั้นเพียงสามวัน
ราคา 10000 เยน นั่ง JR ได้ไม่อั้น ภายในเวลา 3 วัน
แน่นอน รวมถึงเจ้า Nex (เจ้าสายด่วนจากสนามบินเข้าเมืองด้วย)
 
     ไอ้เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะคุ้มรึเปล่าเพราะความที่ทริปนี้เราก็เที่ยวเมืองใกล้ๆโตเกียวเท่านั้น
คุณพนักงานใจดี้ดี ถามแพลนว่าหกวันนี้เราจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง อิชั้นก็แจ้งแก่ใจท่านไป...คุณพนักงานหันไปกดต๊อกแต๊กๆ ได้เจ้าใบนี้มา พร้อมกับบอกเราว่าคุ้ม !!
 
จะรอช้าไปใย ควักเงิน 20000 รีบจ่ายโดยพลัน เพราะตอนนั้นเหลือเวลาเพียง7 นาที รถไปจิมาแล้ววว



Trick  ***หากท่านมีเวลาพึง reserve sheet จะได้ไม่ถูกไล่ที่ดังแก๊งทัวร์ลูกปลิง
(ขอถือวิสาสะตั้งชื่อทริปเอง ตามกลิ่นเปรี้ยว เอ้ย..ตามความเปรี้ยวซ๋าสมวัย)
 
นั่งไปด้วยความระแวงว่าเจ้าของที่จะมามั๊ย ช่วงผ่านสถานีแรกๆ ลุกเปลี่ยนที่เหมือนเก้าอี้ดนตรี
จนคุณลุงตรวจตั๋วชี้ทางสว่างให้ ว่าให้นั่งที่นั่งที่ขึ้นไปสีเขียว (ลองแหงนขึ้นดู..)
อันนั้นแสดงว่ายังไม่มีการจอง แก๊งลูกปลิงร้องอ๋อพร้อมกันทันที


เมื่อถึงชิบูยะ ท้องเราหิวได้ที่ ร้องเรียกให้แวะตลอด แต่ยังไม่มีร้านที่ตกลงปลงใจว่าอยากกินได้ เราจึงเดินทางเข้าที่พักก่อน..ทริปนี้ขอนอกใจ agoda มาจองกับ airbnb บ้าง เพราะครั้งนี้อยากได้ห้องเป็นแบบ survice apartment มากกว่า มาครั้งก่อน อยู่แยกกันมันดูโดดเดี่ยวไป ..https://www.airbnb.com/


จองครั้งแรกลองเข้าไปดูที่หน้าเวบ เฮ้ย!!ราคามันดีเลย


Trick ** ใครอยากจองกับเจ้าเวบนี้ เรามีคูปองประมาณ 1200 บาทเป็นส่วนลด แจกได้ไม่อั้น
แต่ต้องเป็นการจองครั้งแรกเท่านั้น แก๊งลูกปลิงเลยปิ้งไอเดีย
เปลี่ยนอีกคนมาจองได้ลดไป 1200 กว่าบาท
จำราคาแน่นอนไม่ได้ ดี้ดี..
 
(แต่ได้ข่าวว่าช่วงนี้ทางญี่ปุ่นออกกฎหมายใหม่ แต่ใครที่จองห้องเกิน 7 วันนี้ผ่านกฏได้สบายใจจร้า)


เราติดต่อกับเจ้าของห้องผ่านทาง app airbnb แปลกใจมากๆหนึ่งอย่าง ทำไมคนญี่ปุ่นไม่ชอบเล่นไลน์ทั้งๆที่ไลน์มันมาจากญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ คือคุณแอนนาเจ้าของห้องให้ what's app มา เราโหลดมาแล้วใช้งานได้งกๆเงิ่นๆมากเลย โหลดแอปนี้มาคุยซะง่ายกว่า


ครั้งนี้เราเลือกพักใกล้ๆห้าแยกชิบูย่าเลย ชื่อ Anna's place จากสถานีเดินออก west exit
หรือผ่านมาทาง Hachiko exit เดินผ่านห้าแยกไปทางตึก 109 เดินไปเรื่อยๆจะผ่าน mos burger / family mart เลี้ยวขวาที่ซอยแรกถัดจาก family mart ทางขึ้นจะเป็นเนิน ชิดซ้ายไว้ พอถึง Lawson เลี้ยวซ้าย เดินไปหนึ่งบล็อกเลี้ยวขวา เดินอีก 100 เมตร ก็ถึงแล้ว .
 
ถ้าเดินเล่นตัวเบาๆจากสถานีใช้เวลาประมาณ 10 นาที
...น่าเสียดายที่เดอะแก๊งมัวแต่หิวและเหนื่อยกับการลากกระเป๋า เลยไม่ได้แชะรูปสภาพห้องเบื้องต้นไว้เลย
หลังจากนั้นสภาพห้องก็ไม่ควรเปิดเผยแก่สาธารณะ เดี่ยวคนจะครหาได้ ว่าเป็นสาวเป็นนาง (สาว)


***ตลอดเวลาที่ check in และ check out เราไม่เจอตัวคุณแอนนาเลย เราจอง spilt day คือ 5-8th และ 9-10th เพราะคืนวันที่ 8 เราจะไปนอนที่คาวาคุชิโกะกัน คุณแอนนาเลยให้ห้องวันที่ 8 เราฟรีหนึ่งวัน ให้กองสัมภาระไว้ได้ ดี้ดี


โอเครเมื่อทำการเข้าห้องพัก เข้าห้องน้ำเราก็เตรียมเป้ ไปตะลุยโตเกียวกันเลย .
.วันนี้ถ้าเป็นทัวร์คงเรียกว่า วัน free day ..


เริ่มที่ต้องตอบสนองท้องที่มันร้องอยู่นี้ก่อน เราเลือกร้านราเมนที่เป็นชายหน้าตาดี
เอ้ย บรรยากาศร้านดี มีพื้นที่ให้หายใจหายคอ ..
ราเมงจานละ ประมาณ 900 เยน อร่อยและน่ากินมาก
...แต่เราพยายามยัดเท่าไหร่มันก็ไม่หมด --คนญี่ปุ่นเค้ากินจุขนาดนี้เลยเหรอ
 
Trick   การสั่งราเมนจะมีตู้กดที่หน้าร้าน เราก็หยอดเหรียญแล้วกดตรงรูปที่เราอยากกิน
เพราะเราอ่านไม่มออกนี่เนอะ จิ้มเอาตามรูปค่า
 

ท้องอิ่ม ช้อบได้ ..คติ ประจำใจคือ ...แวะทุกร้านที่อยากซื้อ 5555
ทั้งร้าน drugs store , ร้านรองเท้า abc-ดีอีถึงแซด , ร้านขนม , ร้านเพลง , ร้านเกมส์ ,ร้านน้ำปั่น ,ร้านกาแฟ
 
เรียกมันว่าเสียเงินประชดชีวิต (ทำไมต้องประชดยังไม่เข้าใจจนตอนนี้ )
 
เอาล่ะหลังจากที่พวกเราเหลือเงินกันอยู่เพียงครึ่งเดียวของเงินเยนที่แลกมา

สติเริ่มมาปัญญาเริ่มเกิด...รูดบัตรสิ เอ๊ะไม่ใช่แระ ...ช้อบแต่พอดีสิ


** เนื่องจากช่วงนี้ยังอยู่ใน GW ร้านรวงพากันลดราคามากมี ร้านรองเท้านี้หั่นราคากับกรี๊ด ทุกคนมี mission ในใจลึกๆว่าช้านต้องสอยรองเท้าสักคู่ โดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่า อันนี้มันคือคู่แรก
 
 
ดั่งโบราณท่านว่า "มีหนึ่งมิแคล้วมีสองต้องประสงค์"



 
 
 
 
จบวันนี้ด้วยอาการเหนื่อยล้า จากการช้อบปิ้ง และสติที่เริ่มกลับมาว่าเอ้ย!!
อีก 5 วัน กับเงินเท่านี้ จะพอมั๊ย .555 ตอนช้อบทำไมไม่คิดดด


อ๊ะ! พักเรื่องช้อบไป odaiba กันดีกว่า

 16.00 น. ไป odaiba 30 นาทีราคา 360 เยน ควรซื้อตั๋ววัน 800 เยน ...

ฮั่นแน่รีวิวมาแล้วว่าควรซื้อตั๋ววัน แต่พอเอาเข้าจริงกด 360 มาเฉย
เดือดร้อนคุณลุงเจ้าหน้าต้องทำการช่วยแก๊งลูกปลิงอีกแล้ว
คุณลุงบอกว่าให้ใส่ตั๋วกลับช่อง refund
แล้วเงินนั้นจะกลับออกมา ..พวดเราร้อง อ้อ ดังๆอีกที 555

เมื่อได้ตั๋ว ona day pass มาแล้ว ก็ตะลุยกันเลย แต่สังขารมันแปลผกผันกับสถานที่ ckeck list มากค่ะ..เนื่องจากเมื่อคืนบนเครื่องอันหนาวเหน็บ (เริ่มเข้าใจหัวอกคุณหนูน้อย) ทำให้พวกเราหลับๆตื่นๆ แบตเริ่มหมดกันแล้ว

เราเลือกลงที่แรกที่ สถานีOdaiba-kaihinkohen เลี้ยวขวา
เจอห้าง Deck Decks ซึ่งห้างนี้นั้น จะมี legoland , มาดามทุซโซ่
 
ที่นี่เราหิวกันมากเดินผ่านไอศกรีมกำลังลดน่าสนใจ แต่เจ้ากระเพาะน้อยบอกว่า "ช้านคอยนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ" ดังว่ากระเพาะสั่งขาให้เดินไปหาร้านกินก่อน แล้วเราก็มาเจอโซนร้านอาหารที่วิวเบื้องหลังเป็น rainbow bridge ที่ฉากหลังกำลังเป็นแสงสีทอง เอ๊ะ!!ภาพมันเริ่มเบลอ ...คืออาการวิงเวียนเริ่มมา ต้องได้รับอาหารด่วน ถ้าแก๊งลูกปลิงมีไฟที่อกเหมือน Super man ตอนนี้มันคงกระพริบพร้อมส่งเสียง ไม่ไหวแล้ววว



จัดการนั่งรอคิวมีคิวก่อนเราเพียง 2 คิว ถือว่าน้อยแล้วสำหรับเทศกาลนี้

ร้านเป็นเป้นร้านอาหารปลาเฟรนไชน์จากตลาด ปลา ซึคิจิ อันโด่งดัง



เมื่อท้องเริ่มแน่น จึงได้เริ่มมองวิว 555
เดินทะลุหลังห้างจะเจอสะพาน***สถานีนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่นสะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge), Odaiba Seaside Park, อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง (Statue of Liberty), ห้าง Decks Tokyo beach, ห้าง Aqua City Odaiba ชายหาด Odaiba และยังสามารถเดินทะลุไปยังห้าง Diver City, Palette Town และ ห้าง Venus Fort

เรียกได้ว่า Odaiba-kaihinkoen สถานีเดียว เที่ยวได้ทั้ง Odaiba---ลงจากรถไฟเดินเลียบชายหาดเพื่อมาถ่ายรูปกับสะพานสายรุ้ง

แต่ในเมื่อเรามีตั๋ววันแล้ว จะเดินให้เมื่อยทำไมเน้อ
เราก็กลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีเดิม แล้วนั่งต่อไปยังสถานี Daiba และเราก็จะเจอกับห้าง Aqua City มีเทพี //Aquacity Odaiba แพลนที่จะกินรามเมงชั้นห้า ล่มสลาย เพราะความหิวบังตา (ที่ชั้น 5 จะเป็น Ramen Food Theme Park เปิดทุกวัน 11.00 – 23.00 น. มีทั้งหมดแปดร้านจากแปดเมืองมารวมไว้ที่เดียว)





หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟต่อ และไปลงที่สถานี Fune-no-Kagakukan ค่ะ ทันทีที่เราลงจากรถไฟ เราจะเห็นตึกขนาดใหญ่ที่เป็นรูปเรือค่ะ ซึ่งตึกนี้ก็คือ Museum of Marinitime Science เดินไปด้านหลังตึกเป็นที่ปั่นจักรยาน


(สถานีนี้จะมี Oedo onsen monogatariค่ะ ซึ่งก็คือสถานที่แช่น้ำร้อนอันเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นนั่นเอง ที่นี่มีอนเซนหลายแบบค่ะ มีทั้งแช่เท้าอย่างเดียว และแช่ทั้งตัวค่ะ...แต่ทุกคนเปลี้ยแล้ว เลยขอผ่าน)





มาถึงที่สุดท้ายแล้วนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Aomi ค่ะ จะพบกับห้าง Palette Town ด้านในเหมือนเวเนเชี่ยน มองไปเห็น Giant sky wheel ห้าง Venus Fort เป็นห้างที่ตกแต่งออกแนวยุโรป คล้ายกับเวเนเชี่ยน มาเก๊า มีท้องฟ้าจำลองที่เพดาน ในห้างประกอบไปด้วยร้านค้ากว่า 100 ร้าน เน้นสินค้าแฟชั่น บูติค ร้านอาหาร--ร้าน Kiddy Land สาขา Venus Fort Odaiba ขายตุ๊กตา Sanrio, San-x, Line มีให้เลือกเยอะมาก ร้าน Kiddy Land นอกจากสาขานี้แล้วก็ยังมีสาขาที่ Harajuku

ทิป**ที่นี่มีร้าน drugs store ขนาดใหญ่ แถม tax free ด้วย (ถ้าซื้อเกิน 5000 เยน ) เหมาะแก่นักช้อบเพราะที่นี่เป็นร้านค้าปลอดภาษีซะส่วนใหญ่





จุดประสงค์หลักที่เข้าห้าง Venus Fort เพราะว่าอยากชมรถที่ History Garage ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์รถคลาสสิคในช่วงปี ค.ศ. 1950 – 1970 พิพิธภัณฑ์รถ History Garage ดูแลโดย Toyota เข้าชมได้ฟรี





History Garage จะอยู่ที่ชั้น 1 และ 2 ของห้าง Venus Fort ชั้น 1 จะจัดแสดงรถคลาสสิคหลากหลายยี่ห้อ พร้อมบรรยากาศแบบจำลองในยุคนั้น--ชมห้างเจอแผ่นหิน Mouth of Truth จำลอง ส่วนแผ่นหินของจริงอยู่ที่กรุงโรม อิตาลี Mouth of Truth เป็นแผ่นหินที่มีหน้าคน ในสมัยก่อนใช้ในการพิสูจน์ว่าใครพูดโกหก พิสูจน์โดยเอามือใส่ในปากถ้ามือใครขาดแสดงว่าโกหก






























































No comments:

Post a Comment