Thursday, December 22, 2016

ไทเป ..ฮืมม I can feel

ดองทริปมาเป็นเดือนแล้ว ได้เวลาเอาลงสักที ...

ทริปนี้หลังจาก เคว้งคว้างเหมือนเรืออับปางกลางสายฝน ...อยู่พักใหญ่ สุดท้าย โบว์ เพื่อนรักก็ได้เดินทางไปด้วย (ขอให้ขุ่นพ่อโบว์แข็งแรงไวไว)

ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะ...ได้บังเอิญไปกินชานมไต้หวันจากไม่เคยมี inspiration กับประเทศนี้ ..ก็เลยเกิดนิมิตทันใด

รวบรวมสมัครพรรคพวกได้ 4 คนเศษ สุดท้ายก็เหลือสองสาววับขบเผาะ

ออกเดินทางโดยสายการบิน EVA ซึ่งมันมีโปร แต่อย่างว่าชีวิตอีเย็นอย่างช้านมีรึจะได้ราคาถูกเหมือนชาวบ้าน ...ชีวิตอิชั้นมันมีกรรมสุดท้ายได้ราคาเกือบหมื่น หึหึ

ออกจากสุวรรณภูมิ คืนวันที่ 9 พฤศจิ วันพุธ ..ก่อนไปไม่ลืมช้อบช่วยชาติ ขณะที่นั่งอัพรูปอยู่นี้ คือเพิ่งเคลียร์หนี้บัตรเครดิตไปเมื่อวาน เห็นยอดแล้วถอนหายใจแพรพ..ทาสการตลาด คือตัวช้านเอง...นี่ตัวช้านผิดหรือไร ช้านต้องใช้หนี้กรรมให้ใคร

เดินทาง 02.15 ถึง 06.55 จริงๆบินแค่สามชั่วโมงเอง แต่เวลาที่โน่นเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง

...
Day 1 เริ่มไหว้พระขอคู่ เอ้ย++ขอพรที่วัดหลงซานกันก่อน จากนั้น ฮิปเตอร์ก็ต้องไป Art มิว โชคร้ายน้องฝนมาทักทายเราตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเหยียบพื้นดินไต้หวัน วันนี้เลยเจอกับน้องเค้าทั้งวัน...ยังตามไปตกที่ 1914 Huashan (ฮวาซาน )ปาร์คอีก หลบฝนในร้านกล่องดนตรีที่เลือกได้ละลานตา ดีนะต้องไปต่อ ซุนยัดเซ็น memmoral hall เลยได้มาแค่อันเดียว

ฝนซา ออกตัวไปตึกไทเป 101 signature วิวหมื่นล้าน เพราะค่าเข้าไม่ธรรมดา 600 NT ตอนนี้รู้สึกเหมือนก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ แถวสั้น แต่ช้านหิววววว ..กินเสร็จกลับโรงแรมนอนดีกว่า

Day 2 ตื่นแต่เช้า วันนี้เราจะไปสามพันโบกแห่งเมืองไต้หวันกัน หลังจาก หลงอยู่หลายเพลาก็ได้เจอที่จอดบัสสักที ...นั่งรถเวียนเขา ใครขี้เมาอย่าทน อมยาด่วน ..อิชั้นเองยังโคลงๆ ถึงเย่หลิ่ว ได้ถ่ายกับเศียรราชินีในตำนาน เสียดายด้านหลังเค้าไม่กันคนออก..แต่ประทับใจกับการไม่แซงคิว การเข้าแถวของคนไต้หวันมาก.ออกมาชิมหอยสัง กับไส้กรอกหมู ตามตามที่เค้ารีวิวกัน อืมม I can feel.

จากนี้ถ้าไปบัสอีกสองชั่วโมง กว่าจะถึงจิ๋วเฟิน เราแลกเงินมาเยอะ จับTaxi ไปกันกับคุณป้าชาวญ๊่ปุ่นอีกสามคน ซึ่งคุยกันด้วยภาษามือเท่านั้น ขาละ 1000 /5 คน 45 นาทีก็ถึงแล้ว อยู่ที่นี่จนดึกจนดื่น...และที่นี่เราก็เข้าใจสำนวนที่ว่าคบเด็กสร้างบ้าน เอิ่ม..เด็กน้อยทำป้าได้ลูก >< หนูหลอกป้าทำม้ายยย

Day 3 วันนี้ออกเดินทางไกลกันล่ะ ที่ขึ้นรถเหมือนใกล้แค่จมูกแต่เราก็ยังอ้อมโลกไปหลงจนได้ ...จากโรงแรมแค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว จั๊ดหง่าวว...ตกรถไปตามระเบียบ เอาเต๊อะ สุดท้ายก็ถึง Hualien (ฮวาเหลียน) คุยกับคุณลุงtaxi เหมาๆ ลุงพูดจีนเราพูดไทย แต่ก็ไปกันได้ ราคา 5 ชั่วโมง 2500 NT และแล้วก็เจอกับไท่ลู๋เก๋อ วันนี้ฟ้าแจ่มอากาศเป็นใจมาก ...ที่นี่แหละที่เราเจอคุณลุงอีกคนมาถามว่านี่คนไทยใช่มั้ย..ฮืม I can feel เอ๊ะ...จะใช้ช้าน imply ว่าไงทางดีหรือทางร้ายเนี่ย

ไปแช่น้ำพุเย็นเพียงสองแห่งของโลกกันคือที่นี่ กับอิตาลี เค้าว่างั้น..แต่ช้านก็แอบคิดว่าคลองสองน้ำก็น่าจะใช่น้า แล้วมาต่อเสี่ยวหลงเปา กัดแล้วน้ำเยิ้มตามตำนาน ในราคา ถ้วยละ 70 NT กับ 9 ชิ้น

เอ้าจะมืดแร้นจับรถไปนอนที่เจี๋ยวซี แหล่งออนเซ็นมีชื่อของไต้หวันกัน เค้าบอกว่ามาที่นี่ต้องกินผักที่รดด้วยน้ำแร่ กรอบและมีแร่ธาตุสูง น่าจะจริงพระน้ำพุร้อนไหลผ่านกลางเมืองแทบจะทุกบ้าน

กลางคืนออกมาลัลล้าตลาดกลางคืนสักนิด คึกคักผิดคาด มีโชว์ดนตรีคลาสสิค เข้ากับรสนิยมของพวกเรามากมาย

ที่นี่มีสปาปลาน้ำร้อน...แต่ไม่ได้ลองแช่เท้าแอบจุ่มมือ ฮืมม..น้องปลาหนูทนได้หรือลูก!!!

Day 4 ตื่นแต่เช้าไป พิพิธ หลานยางกัน ...เอ้ย!!อาคารจะจมน้ำแล้ว ที่นี่แดดจะแผดเผาไปถึงไหน

กลับมา Jimmy square ชาวไต้หวันที่เราติสต์ๆกันดีจริง

กลับไทเปนั่งยาวๆ ไปเป่ยโถวกัน กะว่าจะไป thermal valley แต่ระหว่างทางต้องผ่านโปเกม่อน พาร์ค..ฮื้อหือ หนุ่ม แก่ เข่าเสื่อม ลูกเล็กเล็กแดงเต็มพาร์ค เดินๆหยุด ๆ จากท่าทางใช่เลย...กำลังยิงโปเกมอน

ยังไม่จบบ...แม้จะล้าเต็มทีไป lover bridge กัน เอิ่ม..ได้ตั๋วยืน เมื่อยน่าดู หนทางก็นะ...จะไกลแสนไกลไปไหน 555

กลับมาแวะตลาดซื่อหลินหรือ กิมหยงเมืองหาด จากนั้นนั่งไปตลาด ซีเหมินดิง หรือสยามเมืองไทย หมดแรง..จริงร้านเค้าปิดหนีแล้วเลยต้องกลับโรงแรม ป้าป้าก็มีแรงเยอะนะจ้ะ

Day 5 ตอนแรกจิไปอู๋ไหล อยากได้วิวสะพานแดงตัดกับแม่น้ำสีฟ้ามรกต แต่ด้วยสังขารที่ร่วงโรย...ขอจึงกะไปปั๋นจักรเอาชีวิตไปทิ้งบนถนนกันดีกว่า ค่ะ ฟังไม่ผิด ปั่นไป หวาดเสียวหลังไป หันไปถามเพื่อนโบว์ว่าซื้อประกันมาแล้วใช่มั้ย...

แต่ก่อนไปขอเติมพลังด้วยของสดก่อน แต่คราวนี้กินบนบกได้ ไม่ต้องเอาไปกินที่อื่น เอ้ยไม่ใช่แระ เราเลือกไป ADD ตามรีวิว sushi bar ขั้นเทพ ...ไปก่อนเที่ยงแล้วน้า คิวยังยาวววว

ตัดกลับไปที่เอาชีวิตรอดมาได้จากความเอ็นดูของชายคนนึงที่ช่วยปั่นนำ ..สุดท้ายถึงกลางทาง เค้าหันมาบอกเราว่าทำไมไม่ไปรถไฟฟ้าล่ะ...แล้วเราก็โดนทิ้งไว้ที่กลางทาง..."ทำถูกแล้วที่เทอเลือกเค้า และทิ้งชั้นไว้กลางทาง ฮือๆ."

อ๊ะ ..จิ้งจกทักยังต้องคิดนี่คนทักนะ ..แล้วเราก็มีชีวิตที่ดีกว่าจริงๆด้วย ..555 ที่ Tamsui ดันสุ๋ย...ปั่นที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว จริงๆน่าจะนั่งรถไฟมาโลดแล้วมาปั่นที่นี่ ไม่ต้องขึ้น high way ไม่ต้องลอดอุโมงค์...อือ I can feel.

กลับโรงแรมมาเปลี้ย จับบัสไปสนามบิน เนื่องจากสถานีบัสเพียงแค่เอื้อมเท่านั้น เราเลยเผื่อเวลาเพียงเล็กน้อย ...เมื่อมาเจอแถวรอเท่านั้น โอ้วว...จอร์จ ตกเครื่องนี่เบิกประกันได้ชิมิ สิ่งที่ผุดในหัวตอนนั้น ..แต่แถวโฟลวว์เร็วมาก ชั่วอึดใจก็กลับมายืนอยู่ที่สนามบินเถาหยวน

เถาหยวน..คือสนามบินแห่งความติสต์ ทุก gate 1-10 จะมีธีมที่แตกต่างกันออกไป..คือรีบซื้อของฝาก จากนั้นวิ่งถ่ายรูปทุกเกท เล่นเอาเหงื่อแตก

อะเคร..หมดแรงข้าวต้มกลับไปเตรียมตัว นอนกันต่อคร้าบ...บ๊ายยบ

Wednesday, December 21, 2016

เขาหงอนนาค ...นั่งห้อยขาที่หน้าผาทะเลกระบี่ ** ถ้าใจกล้าพอ

ทริปนี้ปลาดาวขอพาไปยังเขาหงอนนาคกัน
 
ฟิตร่างกายพร้อม
ไปกันเลยค่ะ
 
เจ้าเขาหงอนนาค นี่ตั้งอยู่ในอุทยานบริเวณอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี  
  โดยใช้เส้นทางจากบ้านทับแขกไปยังเขาหงอนนาค   ซึ่งจะพบที่ทำการของอุทยานที่เป็นส่วนแยกเขาหงอนนาค 
เป็นจุดชมวิวทั้งดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก
 
 
เนื่องจากเราเป็นทริปหญิงล้วน จึงเลือกไปตอนเช้ากันค่ะ
เราออกตัวจากที่พักในเมืองประมาณ ตีสามครึ่ง แวะซื้อน้ำหวาน และ นม ขนมเล็กน้อยเป็นเสบียง
ขับรถมาถึงตีนเขา มองทางไหนยังเห็นแต่ความมืดมิด
 
**คืนก่อนฝนตกลงมานิดหน่อย จึงทำให้ทางลื่นเล็กน้อย และมีมดคันตัวเบิ้มๆเดินเต็มไปหมมด **
 
4.00 น. จากตีนเขา เราใส่เสื้อมากันหนาว กันทากเต็มที่ ขายาวเลกกิ้ง
เสื้อแขนยาวกันไม้ขวด พร้อมกับเป้เสบียงคนละใบ
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือไฟฉาย
 
เอ้ามาสรุปสิ่งของ ที่ควรมี ...
1.ไฟฉาย ไม่ต้องเอาอันใหญ่มาก เพราะจะเมื่อยมือ แต่ไฟสว่างกว้างและแรง
2.น้ำดื่ม ระหว่างทางเราจะเสียเหงื่อต้องคอยจิบน้ำเรื่อย
3.เสบียงไว้ไปปิคนิคกันด้านบน
4.ทิชชูเปียก ถ้าต้องถ่ายหนักถ่ายเบาขึ้นมา ไม่มีนี่เหงื่อแตกแน่ๆ
5.ยาดม ยาลม ยาหม่อง ทั้งแก้วิงเวียน ทั้งทาเวลาที่มดกัด
6.เสื้อขาควรจะเป็นแขนขายาว จริงไม่มีทากหรอกค่ะ แต่กันรอยขูดขีด
7.รองเท้าผ้าใบ ไม่ควรเป็นสีอ่อนเพราะถ้าเลอะดินแล้วอาจจะซักออกยาก
 
พร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันเลย
เส้นทางนั้นจะเป็นเส้นทางธรรมชาติ ยาว 3.7 กม. ขาเดียวนะค้า
เนื่องจากเวลาที่เราไปเจ้าหน้าที่ยังไม่ทำการ เพราะฉะนั้นก่อนไปอย่างน้อย 1 วัน
อย่าลืมโทรแจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานก่อนนะค้า
 
ทางเดินขึ้นเขา ...ไม่ยากเลยค่ะ เป็นทางเดียว ไม่หลงแน่ๆ
ระหว่างทางจะมีป้ายบอกเป็นฐาน ทั้งหมด 13 ฐาน
โดยในป้ายจะมีให้ความรู้ พวกเราก้ส่องไปดูกันแค่สองสามป้ายแรกนั่นแหละค่ะ
ป้ายหลังๆแค่เห็นก็ดีใจแล้ว
 
มันเป็นทริคของทางอุทยานที่ ของการเดินเท้า 8 ป้ายแรกไว้ระยะทางไม่ห่างกันมาก
เราจะรู้สึกว่ามี 13 ป้าย นี่เราผ่านมา 8 แล้วยังสบายๆๆ  ให้พวกเราไม่นอยด์ค่ะ
เพราะป้ายหลังๆ บางอันห่างกัน 40 นาที เฮ้อ..><
 
เราเดินมาเรื่อยทางบางส่วนจะเริ่มชันมากขึ้น
เมื่อมาถึงป้านที่ 11 จะห่างกับป้ายที่ 12 ใช้เวลาเดินระหว่าางป้ายนานที่สุด
นานจนลืม...
 
เขาหงอนนาค มีระดับความสูง 500 เมตรจากระดับน้ำทะเล
จุดชมวิว ที่ยอดเขาหงอนนาค เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ชมบรรยากาศธรรมชาติได้แบบพาโนรามา
   ตั้งแต่ทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นบริเวณเมืองกระบี่ เห็นเขาขนาบน้ำเรื่อยมาจนถึงเกาะกลาง  อ่าวพระนาง เกาะปอดะ ไกลไปยังเกาะพีพี ยิ่งถ้าหากตั้งแคมป์พักแรมก็จะได้ชมดาวในตอนกลางคืน
 
เสียดายที่พวกเราทำเวลาไม่ดีตอนที่ขึ้นถึงยอดเป้นเวลา 7.30 น. ซึ่งดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว
และโชคร้ายที่วันนั้นไม่มีความชื้นเพียงพอจึงไม่มีทะเลหมอก แต่อากาศด้านบน
ก้ทำเราตะลึงและหายเหนื่อยเป้นปลิดทิ้ง
 
 ก้อนหินที่ยื่นออกไปกลางหน้าผา ถือว่าเป็นไฮไลท์สำคัญ
เป็นมุมถ่ายภาพเด็ดๆ ที่ใครมาต้องมาถ่ายรูปที่มุมนี้เป็นที่ระลึก
มายืน มานั่ง ถ่ายรูปตรงนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังด้วยนะ สูง เสียว ใช้ได้เลย
ซึ่งจะมีเชือกไว้ให้จับด้วย เพื่อความปลอดภัย
 
ขาลงมาจากยอดเขาหงอนนาค จะใช้เวลาเร็วกว่าที่คิดมาก ควรรีบลงก่อนจะมืดค่ำ
และอย่าลืมลงชื่อออก ที่จุดลงทะเบียนด้วยนะ


ควรรักษาธรรมชาติ รักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะในป่า
และควรนำขยะทุกชิ้นที่นำขึ้นไปลงมาทิ้งข้างล่าง
  เรียบเรียง // ปลาดาว 
ข้อมูล -- http://pantip.com/topic/35282198

Tuesday, December 20, 2016

รีวิว การเดินทางถวายความเคารพพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ 9

สวัสดีค่ะ เนื่องจากอาทิตย์ที่แล้วปลาดาวและคุณแม่ได้มีเวลาว่างตรงกัน
พวกเราอยู่คนละจังหวัดทางภาคใต้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้ากรุงเทพเพื่อการถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
 
 
ก่อนไปปลาดาวพยายามศึกษารายละเอียดจากคำบอกเล่าของเพื่อนๆ
ติดตามข่าวสารในพระราชสำนักว่า ควรไปวันและเวลาใด ที่ไม่ต้องรอนานมาก
 เพราะคุณแม่เริ่มมีอายุแล้ว กลัวถ้ารอนานท่านจะไม่ไหวเอา
จากการดูข่าวพบว่าจากเดือนแรก ที่มีคนเข้าถวายสักการะ 2-3 หมื่น ช่วงเดือนนี้เป็นวัน 4 หมื่นกว่า
ซึ่งแม้ว่าเวลาเนิ่นนานออกไปท่านก็ไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำของพวกเราลูกชาวไทย
 
มีหลายเสียง  บอกว่าไปตอนเช้าตรู่ก่อนตีห้าวันธรรมดา ยิ่ง จันทร์ อังคาร พุธ ได้เข้าก่อนเที่ยง
หรือบางเสียงให้ไปค่ำ รอไม่นานและอากาศไม่ร้อน
แต่หลังจากปรึกษากันแล้ว คุณแม่ บอกว่าอยากไปชมบรรยากาศ
แลกเปลี่ยนความรู้สึก หรือปรับทุกข์เกี่ยวกับความเสียใจครั้งนี้ด้วยพวกเราจึงเลือกไปเช้าตรู่
ของวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม  2559
 
เราออกจากที่พัก 4 นาฬิกาตรง โดยเรียก grab taxi ไว้ก่อน
มีค่าบริการเพิ่มเติม 45 บาท เราเดินทางถึงสนามหลวง  ประมาณ 4.45 น.
ด้วยความที่เราก็ไม่รู้ว่าต้องรอจุดไหน  พี่ taxi จอดบริเวณประตูธรรมศาสตร์
เราก็เริ่มกระบวนการรอกันตรงนี้เลยค่ะ
 
บริเวณนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้ความสะดวก คอยชี้ว่า..เอ้าคนมาใหม่นั่งต่อแถวตรงนี้
ตอนตี 4 จะเห็นว่ามีทั้งคุณตาคุณยาย  เด็กนักเรียน คนหนุ่มสาว
ต่างก็รอคอยโดยไม่ทราบว่าต้องรอนานเท่าใด แต่ไม่มีใครปริปากบ่นสักคำ
เพราะทุกคนอยากมาไหว้พ่อ ..
 
ประมาณ 6.00 น. แถวเริ่มขยับยืน เราเคลื่อนตัวเรื่อยๆ
แล้วก็มีคนมาบอกว่าถ้าไม่ได้มาเป็นหมู่คณะให้ไปอีกประตูนึง แล้วก็อีกประตูนึง
สรุปว่าวันนี้เรารอผิดประตูไปเกือบชั่วโมง
แต่ไม่เป็นไรเพราะทำให้เราได้เห็นมุมมองใหม่ๆ
 
เราเดินแถวรอ ประมาน 7 โมง เช้าจึงได้ที่นั่งในเต็นท์ เราเป็นแถว ค11
--หลักการนั่งในเต็นท์นั้นคือ นั่งแล้วนั่งเลย ไม่ต้องขยับ จนกว่าเราจะได้คิวไปต่อ
 
จากจุดในเต็นท์นี้ เนื่องจากหลายๆคนมาแต่เช้า ก็จะมีอาหารไว้บริการ
หลายตำแหน่ง โชคดีที่ข้างที่เรานั่งเป็นจุดบริการอาหาร ของบริษัทหนึ่ง
ซึ่งต้องขออภัยด้วยที่เราไม่ได้ถามชื่อมา ร่วมกับหลายหน่วยงานและท่านพุทธอิสระ
 
ด้านหลังก็จะมีเต็นท์ พระราชทาน เรียกว่าตื่นเช้ามารีบมาสนามหลวงได้เลย
ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน
 
แถวที่เรานั่งคอยในเต็นท์ เราได้พบสามีภรรยาคู่หนึ่งคนไทยที่ไปอาศัยในอเมริกาเดินทางมา
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ  คุณน้าผู้หญิงผู้ซึ่งมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 เพียงคนเดียว
คุณตาคุณยาย ที่แม้จะเข่าไม่ดี แต่อยากมาสักครั้ง ตลอดทางต้องช่วยพยุง ต้องหยุดพัก
แต่พวกท่านก็ไม่ย่อท้อ ไม่เคยคิดหันหลังกลับ
คุณลุงจิตอาสาที่คอยมาเรียกมาบอกเมนูให้คนในเต็นท์ไม่ต้องรอด้วยความหิวโหย
ภาพและบุคคลเหล่านี้ดีต่อใจของเรามาก
 
วันนั้นเรารอในเต็นท์แรก ราว 5.30 ชั่วโมง  7.00-12.30 น. แต่รู้สึกว่าไม่นานเลย
ถ้าเทียบกับการได้มาพบปะพูดคุย คนที่รักพ่อเช่นเดียวกัน
การให้ การช่วยเหลือ การดูแลซึ่งกันและกันพบเห็นได้ตลอดเวลาที่นั่งคอย
มันทำให้ปลาดาวรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน
 
ราว 12.30 แถวของเราได้เริ่มเดินเดินทางสู่ประตูบรมมหาราชวัง
จากจุดนี้เราเดินเพียงเล็กน้อย ก็จะเจอเต็นท์ และนั่งรออีกราว 20 นาที จ
คนที่ได้เข้าถวายสักการะเสร็จแล้ว จะเดินย้อนกลับมาทางนี้
เราจะสังเกตุหลายคนที่นั่งวีลย์แชร์มีสีหน้ายิ้มแย้มอิ่มใจ
ณ.ห้วงเวลานี้ ทั้งคนขาดี และขาไม่ดี ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
 
จากนี้เราจะเดินผ่านพระราชวัง เข้าทางวัดพระแก้ว
และแล้วก็เข้าสู่บริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จุดนี้ห้ามถ่ายรูป ควรสงบนิ่ง
เค้าจะให้ถอดรองเท้าใส่ถุงดำที่เตรียมไว้
และเข้าแถวรอเข้าแถวรอกราบถวายสักการะ
 
ช่วงที่รอคนกลุ่มต่อไปที่กราบอยู่ จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะซึมซับบรรยากาศโดยรอบ
ให้เราตั้งสติให้จงมั่น เมื่อถึงคิวเค้าจะให้นั่ง มันคนบอกให้กราบและลุกพร้อมกัน
ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างรวดเร็ว ราว 1-2 นาที เท่านั้น
ในห้องแห่งนี้ เราควรเตรียมมาบ้างว่าจะพูดอะไรกับท่านเพราะ เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด
 
 
จากนั้นเดินลงมาจะมีจุดบริจาคเงิน ควรเตรียมเงินในจุดที่หยิบง่าย
ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ต้องออตรงทางเดิน กีดขวางการสัญจร
 
เสร็จพิธีเราออกจากจุดนี้ 14.00 น. 
 
ความรู้สึกเราในวันนั้นเหมือนเวลามันแปปเดียว แต่พอมาลองนับโอ้โหนี่ตั้ง 9 ชั่วโมง เชียวนะ
 
----
เกล็ดควรรู้
 
1.หลักการแต่งตัว สุภาพเรียบร้อยที่สุุด จริงๆไม่เห็นคนคอยดูคอยจ้ำจี้นะคะ
ถ้าใครไม่มีชุดจริงๆมีจุดให้ยืมชุดถึงสองที่ด้วยกัน เพียงใช้บัตรประชาชน
 
2.รองเท้า เป็นปัญหาหลักของปลาดาวเลยค่ะ ทั้งที่พันปลาสเตอร์ยาไปแล้ว
ทั้งบริเวณด้านหลังเท้าที่เอ็นร้อยหวาย ที่นิ้วก้อย และนิ้วโป้ง แต่เนื่องจากปกติไม่ใส่คัทชูแบบนี้
จึงทำให้ยังปวดมาก ระหว่างที่นั่งในเต็นท์โชคดีมากค่ะมีปลาสเตอร์มาแจกจึงพันทับเข้าไปอีกชั้น 
 
3.อาหาร เคยได้ยินว่าจากข่าวว่า หลายคนเอาเยอะกินไม่หมดก็ทิ้ง แต่เท่าที่ไปมาวันนี้ไม่เจอแบบนั้น
อาหารแจกเยอะก็จริง แต่คนที่นั่งคอยก็กินแต่พออิ่ม เมื่ออิ่มแล้วก็จะนั่งตามที่เต็นท์ของตัวเอง
เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึก นี่ถ้ามาตอนช่วงที่ยังซึมเศร้าคงร้องให้โฮตลอดเวลาแน่ๆ
 
4.จากที่คุยกับคุณลุงที่มาซุ้มแจกอาหารซึ่งคุณลุงมาตั้งแต่เริ่มต้น
คุณลุงบอกว่ากลุ่มแรก จะได้เข้าวังราว 9 โมง
ซึ่งเราเป็นชุดที่ 2 น่าจะได้เข้าวังประมาณ บ่ายโมง-บ่ายสอง เพราะช่วงเช้า
ตอนที่พระฉันเพลคือ 11 โมงถึงเที่ยงจะมีการเว้นช่วงถวายสักการะ 
วันนึงจะมีคนผลัดเปลี่ยนมาในเต็นท์คอยราวง 4-5 ชุด
 
คุณลุงบอกว่าเวลาที่ดีและเร็วที่สุด คือ ราว 1-2 ทุ่ม จะได้กราบพระศพไม่เกินเที่ยงคืน  เนื่องจากประตูท้องสนามหลวงจะปิดที่ 2 ทุ่ม แต่ทุกคนที่นั่งในเต็นท์คอยแล้วจะได้กราบพระศพหมด แต่รอบดึกข้าวพอเพียงมักจะหมดแล้ว
 
5.ข้าวพอเพียง ได้จัดทำบริเวณสำนักนายกที่ทำเนียบรัฐบาล โดยจิตอาสา
ปลาดาวเคยมีโอกาสไปร่วมด้วย เค้ามีเป้าหมายวันละ 6 หมื่นถุง  แต่ทั้งสองวันที่ปลาดาวไป
ได้เพียง 3- 4 หมื่นเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ไม่พอเพียงแจกผู้เข้าถวายสักการะ
 
ส่วนใครที่สนใจแนะนำโทรจองล่วงหน้า เพราะเค้ารับจิตอาสาเพียงวันละ 200 คน ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณที่นั่ง และอาหารเที่ยงด้วย แต่จากประสบการณ์ เคยไปสองครั้ง ตอนที่ขึ้นมากรุงเทพ ลงอนุสาวรีย์สาน 157 หรือ 509
ลงประตู 4 ก่อนเข้าต้องแลกบัตรประชาชนด้วย
 
ช่วงบ่ายๆ คนจะน้อยลงอย่างมาก เพราะฉะนั้นถ้าคิวเต็ม
แนะนำให้ท่านทานอาหารเที่ยงให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปที่ประมาณ บ่ายโมงนิดๆ
เค้าจะเริ่มปิดการทำที่ืบ่ายสี่ครึ่ง เริ่มไม่เติมข้าวและถุงผ้าแล้ว 
ย้ำเตือนว่าข้าวพาเพียงรับที่หน้าพระบรมมหาราชวังเท่านั้น ไม่มีการมาช่วยทำแล้วนำกลับบ้าน
 
6.จากพระบรมมหาราชวัง จะมีรถฟรีบริการพาไปยังจุดต่างๆ มากมาย
 เราสามารถเลือกขึ้นตามจุดต่างๆ ที่เค้าติดไว้ได้เลยค่ะ
 
 
---
 
 
 
 
 


Tuesday, June 21, 2016

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอน 1 นาริตะ ชิบูยะ

เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน ตอน 1 นาริตะ ชิบูยะ..หมดเงินตั้งแต่วันแรกคืออะไร

ทริปนี้มันเริ่มตรงที่ว่า "ทุ่งดอกไม้สีฟ้า" ..แล้วอิชั้นก็มารีวิวเพิ่มว่าสามารถเพิ่มความดอกอะไรได้อีก
นั่งทำรีวิวเป็นอาทิตย์ค่า...แล้วเราก็ได้แพลนคร่าวๆ หน้าตาประมาณนี้

 
Trick -- ก่อนอื่นเลยก็มา plot "ที่หมายตา" ใน my map ก่อนเพื่อง่ายแก่การวางแผนการเดินทาง

**ใครยังใช้ไม่เป็นตามดูวิธีการที่ลิ้งด้านล่างได้เลยค่ะ ออกตัวไว้ก่อนว่าอิชั้นก็ไม่ได้เก่งไอที
เอาแค่ใช้พอเอาตัวรอดเท่านั้น

Day 1 /// 5th หัสบดี
 
Flight ถึงนาริตะ .. 8.00 น. ผ่านตม. นั่ง JR ไปที่พัก ฝากกระเป๋า.. 90 นาที 3390 เยน

วันนี้โชคดีมากค่ะ เราเป็น flight เช้าคนจะยังไม่เยอะ ใช้เวลาผ่านตม
ประมาณ ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทำเวลาดีเกินคาด  ทำให้มีเวลาหลงได้อีกเยอะ ><

Trick -- ลงเครื่องแล้วอดทนนิดนึงนะคะ อย่าแวะเข้าห้องน้ำ แต่งหน้าทำผมเสียก่อน รีบไปต่อคิวเพราะ ถ้าเรารีบเดินมาอย่างที่บอกเป็น flight เช้าคนน้อย ..แปปเดียวเลยค่า (อาจจะแอบแปรงฟันล้างหน้าเตรียมไว้ก่อนเครื่อง landing นิดนึง ) แล้วไปรอรับกระเป๋า ระหว่างนี้แหละค่ะ จัดหนักจัดเต็มหน้าผม เปลี่ยนชุดในชุดนอกกันยาวๆ

*** แต่อย่าลืมแอบส่องรอบรถไฟที่เราจะเข้าเมืองกันไว้ก่อนนะคะ จะได้กะเวลาได้
http://www.hyperdia.com/en/
***แต่ถ้าใครชิลๆจะไปทำบนรถไฟเข้าเมืองก็ได้ ก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน สำหรับอิชั้นไม่อยากไปปิดๆเปิดกระเป๋าบนรถไฟมันทุลักทุเลเลยจัดให้เสร็จค่ะ


รอบที่เราเล็งไว้คือ 09.48 น. หลังได้กระเป๋าก็จัดการตัวเองเรียบร้อย
ก็ต้องรีบไปซื้อ Kanto Pass ซึ่งซื้อได้ที่ JR center ด้านล่างค่ะพอเราลองสอบถามเจ้าหน้าที่ ..เค้ารีบบอกว่ามันยกเลิกไปแล้ว แป่ววว ( เหงื่อแตก!!)
..เห็นพวกเราทำหน้างง ไม่รู้จะเอาไงกับชีวิต เค้าเลยรีบเฉลยว่ามันมีตัวใหม่แต่ระยะเวลาสั้นเพียงสามวัน
ราคา 10000 เยน นั่ง JR ได้ไม่อั้น ภายในเวลา 3 วัน
แน่นอน รวมถึงเจ้า Nex (เจ้าสายด่วนจากสนามบินเข้าเมืองด้วย)
 
     ไอ้เราก็ไม่แน่ใจว่ามันจะคุ้มรึเปล่าเพราะความที่ทริปนี้เราก็เที่ยวเมืองใกล้ๆโตเกียวเท่านั้น
คุณพนักงานใจดี้ดี ถามแพลนว่าหกวันนี้เราจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง อิชั้นก็แจ้งแก่ใจท่านไป...คุณพนักงานหันไปกดต๊อกแต๊กๆ ได้เจ้าใบนี้มา พร้อมกับบอกเราว่าคุ้ม !!
 
จะรอช้าไปใย ควักเงิน 20000 รีบจ่ายโดยพลัน เพราะตอนนั้นเหลือเวลาเพียง7 นาที รถไปจิมาแล้ววว



Trick  ***หากท่านมีเวลาพึง reserve sheet จะได้ไม่ถูกไล่ที่ดังแก๊งทัวร์ลูกปลิง
(ขอถือวิสาสะตั้งชื่อทริปเอง ตามกลิ่นเปรี้ยว เอ้ย..ตามความเปรี้ยวซ๋าสมวัย)
 
นั่งไปด้วยความระแวงว่าเจ้าของที่จะมามั๊ย ช่วงผ่านสถานีแรกๆ ลุกเปลี่ยนที่เหมือนเก้าอี้ดนตรี
จนคุณลุงตรวจตั๋วชี้ทางสว่างให้ ว่าให้นั่งที่นั่งที่ขึ้นไปสีเขียว (ลองแหงนขึ้นดู..)
อันนั้นแสดงว่ายังไม่มีการจอง แก๊งลูกปลิงร้องอ๋อพร้อมกันทันที


เมื่อถึงชิบูยะ ท้องเราหิวได้ที่ ร้องเรียกให้แวะตลอด แต่ยังไม่มีร้านที่ตกลงปลงใจว่าอยากกินได้ เราจึงเดินทางเข้าที่พักก่อน..ทริปนี้ขอนอกใจ agoda มาจองกับ airbnb บ้าง เพราะครั้งนี้อยากได้ห้องเป็นแบบ survice apartment มากกว่า มาครั้งก่อน อยู่แยกกันมันดูโดดเดี่ยวไป ..https://www.airbnb.com/


จองครั้งแรกลองเข้าไปดูที่หน้าเวบ เฮ้ย!!ราคามันดีเลย


Trick ** ใครอยากจองกับเจ้าเวบนี้ เรามีคูปองประมาณ 1200 บาทเป็นส่วนลด แจกได้ไม่อั้น
แต่ต้องเป็นการจองครั้งแรกเท่านั้น แก๊งลูกปลิงเลยปิ้งไอเดีย
เปลี่ยนอีกคนมาจองได้ลดไป 1200 กว่าบาท
จำราคาแน่นอนไม่ได้ ดี้ดี..
 
(แต่ได้ข่าวว่าช่วงนี้ทางญี่ปุ่นออกกฎหมายใหม่ แต่ใครที่จองห้องเกิน 7 วันนี้ผ่านกฏได้สบายใจจร้า)


เราติดต่อกับเจ้าของห้องผ่านทาง app airbnb แปลกใจมากๆหนึ่งอย่าง ทำไมคนญี่ปุ่นไม่ชอบเล่นไลน์ทั้งๆที่ไลน์มันมาจากญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ คือคุณแอนนาเจ้าของห้องให้ what's app มา เราโหลดมาแล้วใช้งานได้งกๆเงิ่นๆมากเลย โหลดแอปนี้มาคุยซะง่ายกว่า


ครั้งนี้เราเลือกพักใกล้ๆห้าแยกชิบูย่าเลย ชื่อ Anna's place จากสถานีเดินออก west exit
หรือผ่านมาทาง Hachiko exit เดินผ่านห้าแยกไปทางตึก 109 เดินไปเรื่อยๆจะผ่าน mos burger / family mart เลี้ยวขวาที่ซอยแรกถัดจาก family mart ทางขึ้นจะเป็นเนิน ชิดซ้ายไว้ พอถึง Lawson เลี้ยวซ้าย เดินไปหนึ่งบล็อกเลี้ยวขวา เดินอีก 100 เมตร ก็ถึงแล้ว .
 
ถ้าเดินเล่นตัวเบาๆจากสถานีใช้เวลาประมาณ 10 นาที
...น่าเสียดายที่เดอะแก๊งมัวแต่หิวและเหนื่อยกับการลากกระเป๋า เลยไม่ได้แชะรูปสภาพห้องเบื้องต้นไว้เลย
หลังจากนั้นสภาพห้องก็ไม่ควรเปิดเผยแก่สาธารณะ เดี่ยวคนจะครหาได้ ว่าเป็นสาวเป็นนาง (สาว)


***ตลอดเวลาที่ check in และ check out เราไม่เจอตัวคุณแอนนาเลย เราจอง spilt day คือ 5-8th และ 9-10th เพราะคืนวันที่ 8 เราจะไปนอนที่คาวาคุชิโกะกัน คุณแอนนาเลยให้ห้องวันที่ 8 เราฟรีหนึ่งวัน ให้กองสัมภาระไว้ได้ ดี้ดี


โอเครเมื่อทำการเข้าห้องพัก เข้าห้องน้ำเราก็เตรียมเป้ ไปตะลุยโตเกียวกันเลย .
.วันนี้ถ้าเป็นทัวร์คงเรียกว่า วัน free day ..


เริ่มที่ต้องตอบสนองท้องที่มันร้องอยู่นี้ก่อน เราเลือกร้านราเมนที่เป็นชายหน้าตาดี
เอ้ย บรรยากาศร้านดี มีพื้นที่ให้หายใจหายคอ ..
ราเมงจานละ ประมาณ 900 เยน อร่อยและน่ากินมาก
...แต่เราพยายามยัดเท่าไหร่มันก็ไม่หมด --คนญี่ปุ่นเค้ากินจุขนาดนี้เลยเหรอ
 
Trick   การสั่งราเมนจะมีตู้กดที่หน้าร้าน เราก็หยอดเหรียญแล้วกดตรงรูปที่เราอยากกิน
เพราะเราอ่านไม่มออกนี่เนอะ จิ้มเอาตามรูปค่า
 

ท้องอิ่ม ช้อบได้ ..คติ ประจำใจคือ ...แวะทุกร้านที่อยากซื้อ 5555
ทั้งร้าน drugs store , ร้านรองเท้า abc-ดีอีถึงแซด , ร้านขนม , ร้านเพลง , ร้านเกมส์ ,ร้านน้ำปั่น ,ร้านกาแฟ
 
เรียกมันว่าเสียเงินประชดชีวิต (ทำไมต้องประชดยังไม่เข้าใจจนตอนนี้ )
 
เอาล่ะหลังจากที่พวกเราเหลือเงินกันอยู่เพียงครึ่งเดียวของเงินเยนที่แลกมา

สติเริ่มมาปัญญาเริ่มเกิด...รูดบัตรสิ เอ๊ะไม่ใช่แระ ...ช้อบแต่พอดีสิ


** เนื่องจากช่วงนี้ยังอยู่ใน GW ร้านรวงพากันลดราคามากมี ร้านรองเท้านี้หั่นราคากับกรี๊ด ทุกคนมี mission ในใจลึกๆว่าช้านต้องสอยรองเท้าสักคู่ โดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่า อันนี้มันคือคู่แรก
 
 
ดั่งโบราณท่านว่า "มีหนึ่งมิแคล้วมีสองต้องประสงค์"



 
 
 
 
จบวันนี้ด้วยอาการเหนื่อยล้า จากการช้อบปิ้ง และสติที่เริ่มกลับมาว่าเอ้ย!!
อีก 5 วัน กับเงินเท่านี้ จะพอมั๊ย .555 ตอนช้อบทำไมไม่คิดดด


อ๊ะ! พักเรื่องช้อบไป odaiba กันดีกว่า

 16.00 น. ไป odaiba 30 นาทีราคา 360 เยน ควรซื้อตั๋ววัน 800 เยน ...

ฮั่นแน่รีวิวมาแล้วว่าควรซื้อตั๋ววัน แต่พอเอาเข้าจริงกด 360 มาเฉย
เดือดร้อนคุณลุงเจ้าหน้าต้องทำการช่วยแก๊งลูกปลิงอีกแล้ว
คุณลุงบอกว่าให้ใส่ตั๋วกลับช่อง refund
แล้วเงินนั้นจะกลับออกมา ..พวดเราร้อง อ้อ ดังๆอีกที 555

เมื่อได้ตั๋ว ona day pass มาแล้ว ก็ตะลุยกันเลย แต่สังขารมันแปลผกผันกับสถานที่ ckeck list มากค่ะ..เนื่องจากเมื่อคืนบนเครื่องอันหนาวเหน็บ (เริ่มเข้าใจหัวอกคุณหนูน้อย) ทำให้พวกเราหลับๆตื่นๆ แบตเริ่มหมดกันแล้ว

เราเลือกลงที่แรกที่ สถานีOdaiba-kaihinkohen เลี้ยวขวา
เจอห้าง Deck Decks ซึ่งห้างนี้นั้น จะมี legoland , มาดามทุซโซ่
 
ที่นี่เราหิวกันมากเดินผ่านไอศกรีมกำลังลดน่าสนใจ แต่เจ้ากระเพาะน้อยบอกว่า "ช้านคอยนานขนาดนั้นไม่ได้หรอกนะ" ดังว่ากระเพาะสั่งขาให้เดินไปหาร้านกินก่อน แล้วเราก็มาเจอโซนร้านอาหารที่วิวเบื้องหลังเป็น rainbow bridge ที่ฉากหลังกำลังเป็นแสงสีทอง เอ๊ะ!!ภาพมันเริ่มเบลอ ...คืออาการวิงเวียนเริ่มมา ต้องได้รับอาหารด่วน ถ้าแก๊งลูกปลิงมีไฟที่อกเหมือน Super man ตอนนี้มันคงกระพริบพร้อมส่งเสียง ไม่ไหวแล้ววว



จัดการนั่งรอคิวมีคิวก่อนเราเพียง 2 คิว ถือว่าน้อยแล้วสำหรับเทศกาลนี้

ร้านเป็นเป้นร้านอาหารปลาเฟรนไชน์จากตลาด ปลา ซึคิจิ อันโด่งดัง



เมื่อท้องเริ่มแน่น จึงได้เริ่มมองวิว 555
เดินทะลุหลังห้างจะเจอสะพาน***สถานีนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่นสะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge), Odaiba Seaside Park, อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพจำลอง (Statue of Liberty), ห้าง Decks Tokyo beach, ห้าง Aqua City Odaiba ชายหาด Odaiba และยังสามารถเดินทะลุไปยังห้าง Diver City, Palette Town และ ห้าง Venus Fort

เรียกได้ว่า Odaiba-kaihinkoen สถานีเดียว เที่ยวได้ทั้ง Odaiba---ลงจากรถไฟเดินเลียบชายหาดเพื่อมาถ่ายรูปกับสะพานสายรุ้ง

แต่ในเมื่อเรามีตั๋ววันแล้ว จะเดินให้เมื่อยทำไมเน้อ
เราก็กลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีเดิม แล้วนั่งต่อไปยังสถานี Daiba และเราก็จะเจอกับห้าง Aqua City มีเทพี //Aquacity Odaiba แพลนที่จะกินรามเมงชั้นห้า ล่มสลาย เพราะความหิวบังตา (ที่ชั้น 5 จะเป็น Ramen Food Theme Park เปิดทุกวัน 11.00 – 23.00 น. มีทั้งหมดแปดร้านจากแปดเมืองมารวมไว้ที่เดียว)





หลังจากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟต่อ และไปลงที่สถานี Fune-no-Kagakukan ค่ะ ทันทีที่เราลงจากรถไฟ เราจะเห็นตึกขนาดใหญ่ที่เป็นรูปเรือค่ะ ซึ่งตึกนี้ก็คือ Museum of Marinitime Science เดินไปด้านหลังตึกเป็นที่ปั่นจักรยาน


(สถานีนี้จะมี Oedo onsen monogatariค่ะ ซึ่งก็คือสถานที่แช่น้ำร้อนอันเป็นที่ชื่นชอบของคนญี่ปุ่นนั่นเอง ที่นี่มีอนเซนหลายแบบค่ะ มีทั้งแช่เท้าอย่างเดียว และแช่ทั้งตัวค่ะ...แต่ทุกคนเปลี้ยแล้ว เลยขอผ่าน)





มาถึงที่สุดท้ายแล้วนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Aomi ค่ะ จะพบกับห้าง Palette Town ด้านในเหมือนเวเนเชี่ยน มองไปเห็น Giant sky wheel ห้าง Venus Fort เป็นห้างที่ตกแต่งออกแนวยุโรป คล้ายกับเวเนเชี่ยน มาเก๊า มีท้องฟ้าจำลองที่เพดาน ในห้างประกอบไปด้วยร้านค้ากว่า 100 ร้าน เน้นสินค้าแฟชั่น บูติค ร้านอาหาร--ร้าน Kiddy Land สาขา Venus Fort Odaiba ขายตุ๊กตา Sanrio, San-x, Line มีให้เลือกเยอะมาก ร้าน Kiddy Land นอกจากสาขานี้แล้วก็ยังมีสาขาที่ Harajuku

ทิป**ที่นี่มีร้าน drugs store ขนาดใหญ่ แถม tax free ด้วย (ถ้าซื้อเกิน 5000 เยน ) เหมาะแก่นักช้อบเพราะที่นี่เป็นร้านค้าปลอดภาษีซะส่วนใหญ่





จุดประสงค์หลักที่เข้าห้าง Venus Fort เพราะว่าอยากชมรถที่ History Garage ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์รถคลาสสิคในช่วงปี ค.ศ. 1950 – 1970 พิพิธภัณฑ์รถ History Garage ดูแลโดย Toyota เข้าชมได้ฟรี





History Garage จะอยู่ที่ชั้น 1 และ 2 ของห้าง Venus Fort ชั้น 1 จะจัดแสดงรถคลาสสิคหลากหลายยี่ห้อ พร้อมบรรยากาศแบบจำลองในยุคนั้น--ชมห้างเจอแผ่นหิน Mouth of Truth จำลอง ส่วนแผ่นหินของจริงอยู่ที่กรุงโรม อิตาลี Mouth of Truth เป็นแผ่นหินที่มีหน้าคน ในสมัยก่อนใช้ในการพิสูจน์ว่าใครพูดโกหก พิสูจน์โดยเอามือใส่ในปากถ้ามือใครขาดแสดงว่าโกหก